800V / 400V เลือกอะไร
Voltage สูงกว่าดีจริงหรือ?
800V / 400V เลือกอะไร
Voltage สูงกว่าดีจริงหรือ?
ในยุคนี้หลายคนที่จะซื้อรถไฟฟ้าคันใหม่ ก็มักจะได้ยินว่า ให้เลือกระบบ 800V เพราะ "ชาร์จได้เร็วกว่า" แต่เราดูแค่ที่ Voltage พอหรือเปล่า และมันเร็วกว่าจริงหรือ?
คำตอบคือ "ไม่" และ "ใช่" ครับ
"ไม่" ในกรณีไหน?
ถ้าทั้งระบบ 400V / 800V ได้ตู้ที่เหมาะสม ชาร์จได้เต็มกำลังทั้งคู่ ใครจะชาร์จได้เร็วกว่ากันจะขึ้นอยู่กับ "C-Rate" และ Graph ของการชาร์จครับ
ในภาพนี้รถคันแรก "A" 180 kW / 351.7V ในตู้ Shell 360 kW และ คันที่สอง "B" 150 kW / 550.4V ตู้ Huawei 720 kW ซึ่งเป็นตู้ที่ดีที่สุดของทั้งสองคัน (ในไทย) จากกราฟจะเห็นว่ารถ "A" ที่เป็นระบบ 400V ให้กำลังสูงกว่าตลอดทั้งช่วงของการชาร์จ และชาร์จได้ "เร็วกว่า"
รถ "A" ชาร์จถึง 80% ในเวลา 25.01 นาที และ "B" ชาร์จถึง 80% ในเวลา 36.20 นาที ต่างกันถึง 11.19 นาที และชาร์จเต็ม 100% ต่างกันถึง 13.32 นาที
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ Charging Curve ของ "A" ดีกว่า "B" นั่นเอง
ดังนั้นจะเห็นว่า Voltage ที่สูงกว่า ไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบเสมอไป เมื่อระบบ 400V ได้ตู้ที่เหมาะสม ถ้าเราหาตู้นั้นได้ การใช้ 400V ก็ไม่ได้เป็นปัญหา ใครชาร์จได้เร็วกกว่ากัน ก็จะตัดสินกันที่ Charging Curve
แต่ถ้าหากหาไม่ได้ล่ะ? แล้วตู้ที่ไม่เหมาะสมคืออะไร?
ตู้ที่ไม่เหมาะสมกับระบบ 400V ก็คือตู้ที่จ่ายกระแสได้ต่ำ ซึ่งเป็นตู้ที่เราเจอได้ส่วนใหญ่ในไทย เช่นตู้ 120 kW / 200A
ทำไมตู้กระแสต่ำถึงชาร์จได้ช้า?
ในการตอบคำถามนี้ต้องดูว่า กำลังชาร์จสูงสุด มาจากไหน
กำลังชาร์จ (W) = แรงดัน (V) x กระแส (A)
ดังนั้น หากรถ "A" มาชาร์จ จะได้กำลังสูงสุด (ตอนชาร์จแรงดันจะขึ้นไปสูงกว่า V ของแบตเตอรี่ ~50V)
400 x 200 = 80000 W หรือ 80 kW
รถ "B" มาชาร์จ จะได้กำลังสูงสุด
600 x 200 = 120000 W หรือ 120 kW
ในกรณีนี้ รถ "B" ที่มี Voltage สูงกว่า จะชาร์จได้เร็วกว่าทันที
ดังนั้นกลับไปตอบคำถามข้อแรกว่า Voltage สูงกว่า ชาร์จเร็วกว่าจริงไหม คำตอบคือ "ใช่" ในกรณีแบบนี้ครับ
จากทั้งสองกรณีนี้ Voltage สูง ไม่ได้เป็นชาร์จเร็วเสมอไป ดังนั้น การเลือกรถไฟฟ้า การดูแค่ Voltage อย่างเดียว อาจจะบอกได้ไม่หมดครับ ต้องดูกราฟประกอบด้วย
แล้วจะเลือกอะไรดี?
นับว่าเป็นคำถามที่ยากครับ
นี่เป็นปัญหาเฉพาะประเทศ ที่สถานีที่ครอบคลุมเป็น 200A ซะส่วนใหญ่ ทำให้ระบบ 800V หรือ Voltage ที่สูง มีข้อดีอย่างชัดเจน
แต่ในประเทศที่สถานีจ่ายกระแสสูง (400-500A) ครอบคลุม การใช้ระบบ 400V ก็ไม่ได้เป็นปัญหา และการเลือกรถ "A" ก็จะชาร์จได้เร็วกว่ารถ "B"
ดังนั้นถ้าสรุปง่าย ๆ คือ
ถ้าเลือกรถ "B" มีข้อดีใน "ปัจจุบัน"
ที่สถานีส่วนใหญ่เป็น 120 kW/200A ที่จะชาร์จได้เต็มกำลังตู้ แต่ถ้าไปเจอตู้ที่เร็ว 360 kW ก็ชาร์จได้เร็วขึ้นเล็กน้อย
ถ้าเลือกรถ "A"
จะชาร์จได้ช้าในตู้ 120 kW / 200A แต่ชาร์จได้โครตเร็วในตู้ 360 kW / 400A ถ้าอนาคตมีตู้ 400A ครอบคลุมทั่วประเทศขึ้น ข้อจำกัดจะค่อย ๆ หมดไป เหมือนเป็นการเลือก "อนาคต"
หรือหากเส้นทางที่ใช้ สามารถหาสถานี 400A ได้ การเลือกรถ "A" ก็จะได้เปรียบกว่าเช่นกัน
หรือถ้ามีตัวเลือกรถ "C" เป็น 400V แต่มีสถานีของตัวเองครอบคลุมทั่วประเทศ ก็เรียกว่า ไม่ได้มีปัญหาเช่นกัน ความเร็วก็เอาชนะกันที่กราฟอย่างเดียว
ดังนั้น จะเลือกคันไหน "A" หรือ "B" หรือ "C" อาจจะต้องตัดสินใจดูครับ ว่าเงื่อนไขไหน ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากกว่า
แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด ให้มองหารถ "D" ที่เป็น 800V และมีกราฟที่ดีกว่า "A" ครับ ก็จะชาร์จเร็วแน่ ๆ ในทุก ๆ ตู้ครับ
ปล. มีใครเดาถูกไหมครับว่า "A", "B", "C", "D" คืออะไร
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
------------------------------------------------
• Fast Charge ทำให้แบตเสื่อมเร็วจริงหรือ?
• ชาร์จอย่างไรให้ใช้ได้ยาวนาน
• ทำไมแบตถึงไฟไหม้ Thermal runaway
• ทำไม LFP ไม่ควรปล่อยให้ SOC ต่ำ
• LFP ชาร์จเต็ม 100% ดีจริงหรือ
อ่านต่อตรงนี้ได้เลยครับ
https://bit.ly/4hFRfGB