แน่นอนครับว่าแม่บ้านจะไม่ซื้อ MG4 X-Power มาจ่ายตลาดแน่นอน แต่ถ้าคุณพ่อบ้านซื้อมาลงสนาม แล้วแบ่งให้คุณแม่บ้านใช้ล่ะ? ในการใช้งานทั่วไป X-Power จะทำได้ดีขนาดไหน แม่บ้านจะใช้ได้หรือเปล่า ดังนั้นในการหาคำตอบ รีวิวนี้จะเป็นการใช้งานแบบแม่บ้าน (หรือพ่อบ้าน) ดูว่ารถสมรรถนะระดับนี้ ใช้งานทั่วไป จะใช้ได้ดีขนาดไหน?
มาลองอ่านกันดูครับ
ก่อนอื่นต้องบอกว่า MG4 X-Power นั้นเรียกได้ว่าเป็นรถเฉพาะกลุ่ม เพราะมุ่งเน้นกลุ่มที่เน้นการขับขี่จริง ๆ X-Power ปัจจุบันขายอยู่ที่ 1.1199 ลบ. สเปคเบื้องต้นให้กำลังถึง 435 แรงม้า แรงบิด 600 Nm อัตราเร่ง 0-100 km/h 3.8 วินาที ซึ่งคู่แข่งที่ใกล้เคียงกันที่เป็นรุ่น Performance คือ ZEEKR X (1.349 ลบ.) ORA 07 (1.499 ลบ.) SEAL (1.549 ลบ) แต่ตัวเลข และกำลังนั้นไม่ใช่จุดเด่นเท่าไร เพราะทุกค่ายก็ให้กำลังที่ใกล้เคียงกัน
แต่ที่เด่นกว่าคู่แข่งที่ราคาใกล้เคียงกันก็คือ “ช่วงล่าง” ที่ X-Power ตั้งใจออกแบบ และเซ็ทมาให้รองรับกำลัง และความเร็วสูงได้ค่อนข้างดี สามารถสนุกในสนามได้ ในขณะที่ค่ายอื่นไม่ได้มีการออกแบบช่วงล่างใหม่ แค่ปรับจูนให้แข็งขึ้นนิดหน่อย ทำให้เหมาะกับใช้งานทั่วไป มากกว่าการเอาลงสนาม นั่นทำให้สมรรถนะการขับขี่ภาพรวมของ X-Power ในด้าน Performance เด่นกว่าคู่แข่งในจุดนี้ เป็นรถที่สามารถขับลงสนามก็ได้ และขับใช้งานทั่วไปก็ดี All in one ในคันเดียว เรามาดูการใช้งานในหมวดต่างๆ กันดังนี้ครับ
หลายคนอาจจะกังวลว่า รถแรงขนาดนี้แม่บ้านใช้จะอันตรายไหม ต้องบอกว่าถึงรถคันนี้จะแรงมาก แต่ X-Power มี preset ให้เลือก 3 Mode - Sport, Normal, ECO ถ้าเราเลือกเป็น ECO กำลังจะถูก limit ไว้ ทำให้ขับง่ายไม่น่ากลัว แต่ถ้ากดคันเร่ง ก็ยังติดเท้า หรือกดสุด ก็ยังเร่งแซงได้ในแรงดึงที่ไม่มากเกินไป ดังนั้นยังคงขับง่ายเหมือนรถไฟฟ้าทั่วไปได้ครับ ถ้าแม่บ้านไม่กด SPORT จะไม่รู้แน่นอนครับว่ามีอะไรซ่อนอยู่
รถคันนี้จะชอบทางโค้งมาก ๆ เลี้ยวเกาะโค้งได้ทุกแบบ body-roll ต่ำ ทำให้การขับตามโค้งไม่เหนื่อย เพราะรถจะผ่านไปได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลย ทำให้ขับแล้วรู้สึกสนุก และปลอดภัยไปพร้อม ๆ กัน
ด้วยความที่พวงมาลัยตอบสนองดี เลี้ยวได้ตามมือ ทำให้คุมรถได้ง่าย หากเจอเหตุการณ์ต้องเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวาด จะทำได้ง่ายโดยรถไม่เสียอาการ ผ่านคอสะพานไม่โดด ทีเดียวหยุด เรียกว่าถ้าความเร็วปกติ แทบจะยากมากในการทำให้รถเสียอาการ นี่จึงเป็นจุดเด่นของคันนี้ ที่จะทำให้แม่บ้านขับได้ปลอดภัยมากขึ้นครับ
ช่วงล่างออกแนวแข็ง แต่ก็ไม่ได้สะเทือนมาก ยังพอจะขับแล้วไม่เหนื่อยครับ
โดยทั่วไปการแสดงผลระยะวิ่งที่ตรงที่สุด จะคิดจาก Consumption แต่ของ X-Power จะเปลี่ยนไปตาม Mode ที่เลือก และการเปิดแอร์ โดยเมื่อ SOC 100% การแสดงระยะวิ่งเป็นดังนี้
Normal เปิด/ปิด แอร์ 408 / 480 กม.
Sport เปิด/ปิด แอร์ 367 / 432 กม.
ECO เปิด/ปิด แอร์ 428 / 504 กม.
โดยการเปิดแอร์ ระยะวิ่งจะหายไปประมาณ 15%
ซึ่งระยะวิ่งนี้ถ้าวิ่งตามปกติ ก็พอจะตรงประมาณนึง แต่ถ้ากดหรือใช้คันเร่งเยอะ ๆ จะเริ่มเพี้ยนไปบ้างครับ
จากการใช้งานวิ่งในเมืองกับทางไกล เร็วบ้างช้าบ้าง จาก 100% - 8% ได้ระยะทาง 360 กม. ใช้พลังงาน 15.5 kWh/100km ถ้าคิด 100% จะวิ่งได้ 391 กม. หรืออีก 31 กม. (Range ใน Mode Sport บอกระยะเหลือ 25 กม. ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างตรง) ดังนั้นในการใช้งานทั่วไป คาดหวังได้ที่ 340-400 กม. ครับ
เป็นปกติของรถ 400 แรงม้าที่อัตราการใช้พลังงานจะสูงซักหน่อย แต่ที่ดีคือถ้าปรับ Mode ECO จะเหลือมอเตอร์หลังทำงานอย่างเดียว หากใช้ NORMAL มอเตอร์หลังทำงานอย่างเดียวเช่นกัน แต่หาก kickdown มอเตอร์หน้าจะทำงานขึ้นมา แต่หากใช้ Mode SPORT จะเป็นขับ 4 ตลอดเวลา หากใช้ Mode ECO การใช้พลังงานจะลดลงมาก หากขับกินลมจะได้ต่ำถึง 12.6 kWh/100 km เลยทีเดียว แต่การขับใช้งานทั่วไปได้ที่ 15-18 kWh/100km ซึ่งก็ถือว่าใช้ได้ สำหรับรถกำลังขนาดนี้ หรือถ้ากดหนักหน่อย 20 kWh/100km อาจจะมีให้เห็นได้ครับ ส่วน Consumption ที่ความเร็วคงที่เป็นดังนี้
90 km/h ~ 14.1 kWh/100km
100 km/h ~ 15.0 kWh/100km
110 km/h ~ 16.2 kWh/100km
ถึงเบรคจะเป็นฝาครอบล้อที่หลายคนกังวลว่าจะเบรคไม่อยู่ ในการขับถนนทั่วไปกดแล้วอยู่อย่างมั่นใจเลยครับ
MG4 X-Power ใช้แบตเตอรี่ 64 kWh ให้กำลังชาร์จสูงสุด 150 kW แรงดัน 380v ตามสเปค
ในการทดสอบเรามาชาร์จที่ตู้ ABB Terra 360 kW ที่ PEA บาลีไฮ ซึ่งถือว่าเป็นตู้สาธารณะที่ดีที่สุดสำหรับรถ 400v เพราะตู้นี้จ่ายกระแสได้สูงสุด 500A ก็ควรจะได้เห็น Peak Power ของรถคันนี้
ในการทดสอบเราชาร์จจาก 8-90% ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 62 นาที กำลังชาร์จสูงสุดได้ที่ 135 kW ที่ 20% หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ตกลงเรื่อย ๆ ให้กำลัง 102 kW ที่ 30% และลงอย่างต่อเนื่อง จน SOC 60% เป็นต้นไปจะเริ่มช้าเหลือเพียง 47 kW เท่านั้น (ดูกราฟได้)
ช่วงที่ชาร์จได้เร็วที่สุดคือ 8-60% ใช้เวลาเพียง 21 นาที ได้ SOC มาถึง 52% ถือว่าได้ระยะวิ่งประมาณ 200 กม. แต่ระหว่าง 60-80% จะค่อนข้างช้าใช้เวลา 22 นาที ได้ SOC มาเพียง 20% หรือได้ระยะเพียง 78 กม.
ช่วงมาตรฐาน 20-80% ใช้เวลา 40 นาที ในขณะที่ 10-70% ใช้เวลา 30 นาที ดังนั้นถ้าอยากเดินทางให้เร็ว ให้ใช้ช่วง 10-70% แทน เพราะได้ระยะทางประมาณ 240 กม.เท่ากัน แต่เร็วกว่า 10 นาที คันนี้ SOC ต่ำ ๆ ยังไม่เจอแบตวูบ ถือว่าไว้ใจได้ แต่ในทางปฏิบัติอาจจะเสียวหน่อย เพราะหากหาที่ชาร์จไม่ได้ SOC 10% อาจจะไม่พอ อาจจะต้องประเมิณส่วนนี้เผื่อด้วยครับ
ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่ากำลังตกเร็วไปนิด ทำให้การเดินทางไกลอาจจะต้องเผื่อเวลาชาร์จซักหน่อยครับ น่าสังเกตุว่าที่เป็นแบบนี้อาจจะเพราะทาง MG ตั้งใจเซ็ทให้ BMS ชาร์จช้าลงเพื่อถนอมแบตให้ใช้ได้นานที่สุด จะได้สอดคล้องกับการประกันตลอดชีพก็เป็นได้ครับ
ท้ายรถของ MG4 ใส่กระเป๋า Carry-on ได้ 4 ใบ สำหรับผู้โดยสาร 4 คนในทริปสั้น ๆ 4-5 วันได้สบาย ๆ ครับ ดูภาพประกอบได้
( https://www.facebook.com/shortspecs/posts/519324570615961 )
สิ่งที่ผมว่าสะดวกมากคือ Shortcut บนพวงมาลัย ที่สามารถเซ็ทให้เป็นสิ่งที่ใช้งานบ่อย ๆ ได้ อย่างเช่นปรับแอร์ ปรับ Mode การขับขี่ แต่ถ้าเข้าจากหน้าจอโดยตรง จะลึกหน่อย การตอบสนองของหน้าจอยังช้าไปนิด ตัวหนังสือเล็กไปหน่อย ถ้ามีการปรับปรุง UI จะดีมากครับ
ที่พิเศษของ X-Power คือมี One-pedal มาให้ (ไม่แน่ใจว่ารุ่น D, X, V อัพเดทไหม) ซึ่งดีมาก แต่ติดที่ Setting จะไม่จำถ้าขึ้นรถใหม่ หรือเปลี่ยน Mode การขับขี่ สุดท้ายเลยขี้เกียจเปิดขับปกติก็ได้ ถ้าแก้ Bug นี้ได้ใน OTA จะเยี่ยมมากครับ
อันที่จริงหัวข้อนี้ไม่สำคัญเท่าไร เพราะ X-Power เหมาะเป็นรถที่จะขับเอง แต่หากจะวัดประสิทธิภาพ ระบบรักษารถให้อยู่กลางเลน ทำงานได้ดีในถนนที่เป็นเส้นตรง ไม่เหมาะที่จะใช้ในช่วงทางโค้งเท่าไร เพราะระบบยังไม่แม่นเรื่องเส้น และจะหลุดการทำงานเองบ่อยครั้งครับ ดังนั้น แนะนำให้ขับเองจะดีกว่าครับ
กล้องใน MG4 X รุ่นแรก ๆ มีปัญหาที่ภาพ delay ประมาณครึ่งวินาที แต่ใน X-Power ไม่เป็นแล้วครับ ภาพที่แสดงค่อนข้าง Real-time แต่ปัญหาคือจอค่อนข้างเล็ก และภาพไม่ค่อยชัด ในมุม Bird eye view จะกะของที่ใกล้ ๆ มุมรถดูได้ยาก แต่หากเป็นมุมกล้องปกติ หน้า-หลัง ข้างล้อ ยังใช้ได้มีประโยชน์อยู่ครับ
ที่นั่งด้านหลังไม่แคบมาก มี Leg room พอประมาณ หลังชันไปนิดอาจจะเมื่อยทางไกล แต่เวลาเร่ง หรือเข้าโค้ง ด้านหลังจะเหวี่ยงมากกว่าผู้โดยสารหน้า อาจจะต้องระวังหากผู้โดยสารหลังเมารถง่ายครับ
นี่น่าจะเป็นอีกจุดเด่นที่คลายกังวลให้กับคนใช้รถไฟฟ้า ถือว่าทำให้ผู้ใช้ MG4 สบายใจในจุดนี้ไปได้ เพราะรับประกันตลอดอายุใช้งานของรถ แม้ว่าจะเปลี่ยนเจ้าของก็ตาม สิ่งนี้ทำให้ราคามือสองของ MG4 จะไม่ตกมาก เพราะ Life-time warranty จะตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข เช่นไม่มีการดัดแปลง หรือการเข้าศูนย์ตรงเวลาทุกครั้ง ซึ่งส่วนนี้อยากให้เช็คกับทาง MG ให้แน่ใจ จะได้ไม่หลุด warranty ครับ
สิ่งที่ยากของการใช้คันนี้คือการขับช้า รถคันนี้เด่นที่เน้นขับ แม้จะใช้จ่ายตลาด ขับไม่เร็วก็ยังขับสนุก บังคับง่าย คล่องตัว และยังคงให้ความประหยัดไม่แพ้รุ่นปกติ ใช้ทางไกลวิ่งได้ 380 กม. แต่ชาร์จช้าไปนิด ถ้าไม่ติดเรื่องตอนจอดต้องใช้ฝีมือซักหน่อย คุณแม่บ้านจะใช้คันนี้ได้ไม่มีปัญหาครับ
ขอบคุณ MG ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบครับ